AIDA** Day 1: Relaxation is the key, security is the need

[ghostpipe]

นั่นคือสิ่งที่ผมสรุปได้ จากการเรียนรู้วันนี้ครับ

แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่ได้เรียน freediving เป็นเรื่องเป็นราวอย่างแท้จริง มันช่างมีอุปสรรคให้เราต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก มาหลายครั้งหลายครา
และที่สำคัญที่ทำให้ผมถึงกับอึ้ง จนพูดอะไรไม่ออกเลยก็คือ เมื่อวาน (11 ธค) ครับ

ผมหวังไว้ว่าจะเป็นวันที่ดีที่สุดอีกวันหนึ่งที่ผมได้ทำอะไรอย่างที่หวังไว้ คือได้เรียน freediving สักที
แต่แล้วผมก็ต้องนั่งเซ็ง นอนเซ็งไปทั้งวัน เพราะทางร้านบอกผมว่า instructor ป่วยไม่สามารถสอนได้ อึ้งไปเลยครับ

ก่อนหน้านี้ก็เลื่อนผมมาทีหนึ่งแล้ว เดิมที่ตั้งใจเรียนวันที่ 10, 11 และ 12 ธค โดยกะจะออกเดินทางคืนวันที่ 8 และมาถึงเช้าวันที่ 9 เพื่อพัก 1 วัน
แต่ก็ได้รับแจ้งว่าจะต้องเลื่อนไป เป็น 11 - 13 เอ้าไม่เป็นไรยังพอเลื่อนนัดได้ และก็ยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย ยังไม่ได้ออกเดินทาง
ทีนี้พอออกเดินทาง ซึ่งอุตสาห์ขับรถมาทั้งคืนวันที่ 9 หวังว่ามาถึงเช้าวันที่ 10 พักสักวันแล้วค่อยเรียนในวันที่ 11 แต่แล้วก็อย่างที่บอกครับ

เลื่อนๆๆๆ กลางอากาศ เป็นอะไรที่ทำให้ผม มึนและงง มากๆๆ

จริงๆ ตั้งใจจะเขียนกระทู้นี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ แต่มันเซ็งมากๆ จนไม่อยากทำอะไรเลย
ไม่เป็นไร ผ่านไปแล้วครับ ผมพยายามไม่นึกถึงมัน มาเข้าเรื่องที่จั่วหัวไว้ดีกว่า

วันนี้รถของทางร้าน Blue Planet Diver มารับเราตามเวลาที่นัดไว้ มีนักเรียน freediving ด้วยกันทั้งหมด 4 คน รวมทั้งคุณ Small ด้วย

เริ่มจากภาคทฤษฎี ที่ประกอบไปด้วยหลายประเด็นที่เราต้องเรียนรู้ เริ่มตั้งแต่ What is freediving? ตามความเข้าใจของแต่ละคนเลยครับ จริงแล้วก็คือคำถามว่าทำไมแต่ละคนถึงมาเรียน หรือเล่นกีฬา freediving นั่นเองครับ (กระทู้นี้เคยตั้งไว้แล้วใน forum นี้ ลองไปหาอ่านหรือไปตอบเพิ่มเติมได้ครับ)

จากนั้นก็เป็นหัวข้อต่างๆ ที่สำคัญได้แก่
1) Physiology of Freediving ที่สำคัญเลยก็คือ ระบบการหายใจ และการหมุนเวียนโลหิต ซึ่งทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการหายใจ และผลของการไม่หายใจ และที่สำคัญเราจะได้เรียนรู้ว่าทำไมเราถึงไม่ควรทำ hyperventilation เพื่อ freedive แต่ควรจะต้องหายใจก่อนและหลังจาก freedive อย่างไร และที่สำคัญและเป็นหัวใจของ freedivng เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยก็คือ RELAX และ RELAX

2) Depth and Pressure เป็นเรื่องผลของความลึกที่ทำให้เกิดแรงกดดัน โดยเฉพาะที่หู เราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการ equalisation (การ clear หู) และนี้คือหัวใจของ constant weigth ครับ

3) Equipment ได้แก่ maskwetsuit fins weightbellt and weights snorkel และ landyard ซึ่งหัวข้อนี้เอาไว้จะไปเขียนต่อในกระทู้ที่เคยตั้งเอาไว้แล้ว แต่ยังเขียนไม่เสร็จ โดยเฉพาะ landyard ผมลองทำเองแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่

[Mee+]

แวะมาช่วยเซ็ง พรุ่งนี้คงได้ต่อแบบสวยๆ may the force be with you

[ghostpipe]

แงๆๆ พี่ Mee+ ผมเขียนเพิ่มไว้ยาวกว่านี้ แต่มัน send แล้ว หายไปหมดเลย ต้องเขียนใหม่เลย

ขอบคุณครับที่มาช่วยเซ็งเป็นเพื่อน ขอบคุณ Nippon ด้วยครับ ที่ช่วยรับฟังและโทรมาให้กำลังใจในตอนเย็น

ตอนนี้หายแล้วครับ และหวังไว้อย่างที่พี่บอกว่า พรุ่งนี้น่าจะได้อะไรดีๆ ขึ้น

และน่าจะเป็น constant weigth ที่ดีกว่าแสมสารครับ

[ghostpipe]

4) Freediving Disciplines ก็เป็นประเภทต่างๆ ของ freediving ซึ่งสามารถหาอ่านได้จาก website ของ BKKLOMA หรือที่ผมเคยเขียนไว้บ้างในกระทู้ที่เกี่ยวกับสถิติโลกครับ

5) Safty and Rescue ซึ่งต้องถือว่าเป็นหัวข้อที่สำคัญ และเน้นเป็นอย่างมากของวันนี้ครับ เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง loss of motor control หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Samba และเรื่องของการ black out ครับว่าคืออะไร จะสังเกตุและลดความเสี่ยงในการเกิดสองสิ่งนี้อย่างไร และที่สำคัญเมื่อเกิดแล้วจะช่วย buddy ของเราได้อย่างไรให้ปลอดภัย

นั่นก็เป็นภาคทฤษฏีทั้งหมดที่เรียนตอนเช้าครับ

[ghostpipe]

ตอนบ่ายก็เป็นภาคปฏิบัติในสระ เริ่มประมาณเกือบบ่ายสองได้

ลืมบอกไปว่าวันนี้เรามี instructor 2 คนครับ Sarah Whitcher และ Richard Wonka ตอนเช้าเรียน lecture กับ Richard ส่วนตอนบ่าย Sarah มาช่วยในสระด้วย

ต้องขอบอกว่า สองคนนี้มีความเป็นครูอยู่ในตัวสูงมาก ผมเองก็มีอาชีพเป็นครู สามารถรับรู้ได้ครับ และนีเป็นสิ่งที่ทำให้ผมค่อยหายเซ็งได้ครับ และรู้สึกคุ้มค่าและโชคดีที่ได้เจอสองคนนี้
และการใช้ชีวิตของสองคนนี้ก็น่าสนใจมากครับ อย่างเช่นการขี่จักรยานจากกรุงเทพฯ มาด้วยกัน เพื่อมาอยู่ที่เกาะลันตา เป็นต้น

[ghostpipe]

ผมไม่ได้รับอนุญาติให้ใช้ monofin ใน course นี้ครับ ทุกคนต้องใช้ long fins เศร้าเลยครับ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า monofin เป็น speacialty ต่างหากอีก course หนึ่งครับ ซึ่งผมกะว่าคราวหน้าต้อง take course นี้ให้ได้ และคงจะควบต่อเนื่องกับ *** เลย ใช้เวลาเพิ่มอีก 1 วันครับ สำหรับ monofin

บ่ายนี้ในสระเราเริ่มจากการฝึกการเตรียมการหายใจ หรือ preparation ก่อนการดำ ซึ่งสิ่งใหม่ที่ผมได้เรียนรู้และแตกต่างไปจากที่เคยปฏิบัติมาก็คือการใช้ snorkel แทนการ breath up แบบเกาะขอบสระ ทั้งนี้การใช้ snorkel จะช่วยทำให้เรา relax และลดความตึงเครียดของการใช้กล้ามเนื้อได้มากกว่าการเกาะขอบสระ และสามารถเริ่มการกลั้นหายใจได้เลย เพราะเราคว่ำหน้าใต้น้ำอยู่แล้ว

อีกเทคนิค และเป็นสิ่งที่ผมชอบก็คือการนอนหงายบนผิวน้ำ โดยมี buddy คอยช่วยพยุงศรีษะไว้ ทำให้เรารู้สึกสบายมากๆๆ จากนั้นเมื่อพร้อมก็ให้วาดแขนข้างหนึ่งข้ามตัวเพื่อพลิกคว่ำหน้าลงน้ำไป ซึ่งเป็นเทคนิคที่สบายกว่าการเกาะขอบสระมากครับ

เทคนิคหนึ่งไม่ใช่การ breath up แต่เป็นการ relaxation ก็คือการที่เรานอนหงายแล้วเมื่อพร้อมก็ส่งสัญญานให้ buddy รู้ จากนั้น buddy ก็จะจับเราลงใต้น้ำ กวาดไปมาซ้าย ขวา ขึ้นลง ไปในทิศทางต่างๆ แบบ เบาๆ ช้าๆ นะครับ ไม่ใช่แบบที่จะจับเรากดน้ำนะครับ ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ครับ ประมาณ 30 วินาที เราจะรู้สึกสบายขึ้น

การหายใจเข้าก่อนดำนี้เป็นจุดที่สำคัญครับ ปกติผมจะพยายามหายใจเข้าไปให้ได้มากที่สุด จนบางครั้งรู้สึกอึดอัดเลย ซึ่งไม่ถูกวิธีครับ ที่ดีคือสุดหายใจเข้าไปให้เรารู้สึกสบายไม่อึดอัดจนเกินไป จะดีที่สุด และการ packing ก็ยังไม่จำเป็นสำหรับการดำที่มีความลึกไม่ถึง 90 m.

ผมกับ buddy คือคุณ small ก็ผลัดกันทำ static สัก 2 - 3 ครั้งได้ ครั้งสุดท้ายของผม ผมสามารถทำ PB ใหม่ได้ ครับ เรื่องเวลาอาจจะนานกว่าครั้งเดิมไม่มากนัก แต่สิ่งที่ต่างไปจาก PB ครั้งก่อนก็คือผมยังไม่ได้ push ตัวเองมากเหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อขึ้นสู่ผิวน้ำก็รู้สึกสบายๆ กว่ามาก

อีกเทคนิคที่ผมได้เรียนรู้สำหรับการฝึกซ้อม static และสามารถใช้ได้กับ dynamic ด้วย ก็คือ เราอาจจะซ้อมกับ buddy แบบต่อเนื่อง แทนแบบสลับ กล่าวคือ คนใดคนหนึ่ง ทำหน้าที่ safty ให้กับอีกคนจนจบ set การซ้อม เช่น เราอาจจะซ้อม CO2 หรือ O2 table ก็ซ้อมให้จบคนใดคนหนึ่งไปเลย แล้วค่อยพลัดกัน

จากนั้นเราก็ซ้อม การ rescue สำหรับคนที่ทำ static แล้วเกิดปัญหา ซึ่ง skill นี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมากครับ และผมมีความเห็นว่า พวกเราก็น่าจะทบทวน skill นี้ รวมทั้งแบบ dynamic ที่จะกล่าวต่อไป กันบ่อยๆ นะครับ จะได้ทำอย่างเป็นอัตโนมัติ หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆ แต่คงไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกใช่ไหมครับ

ลำดับถัดไปคือการซ้อม dynamic ที่สำคัญก็คือการ kick การทำตัวให้ stream line และการกลับตัว สำหรับผม stream line กับการกลับตัวไม่มีปัญหา แต่การ kick มีเล็กน้อย คือ forward kick แคบไปหน่อย back kick ใช้ได้แล้ว Sarah เลยให้ผมทดลองท่องคำว่า forward ทุกครั้งที่แตะเท้าลงเพื่อย้ำว่าเราต้อง forward ให้กว้างขึ้น

ส่วนการฝึก rescue สำหรับการ dynamic ก็คือ buddy ต้องดำอยู่ผิวน้ำโดยใช้ snorkel ตามคนที่ซ้อมอยู่ใต้น้ำไปตลอด ซึ่งประเด็นนี้ Sarah ย้ำว่ามีความจำเป็นมากที่ต้องมีคนคอย safty ไปตลอด ห้ามดำคนเดียวเด็ดขาด ผมก็ได้แต่ถามตัวเองว่า เราจะซ้อมอะไรได้บ้างเนี่ยถ้าไม่มี buddy จากนั้น Sarah ก็เป็นคนดำแล้วให้ผมค่อยฝึกสังเกตุอาการ โดยเธอไม่บอกเราว่าจะเกิดปัญหาเมื่อไร เราต้องสังเกต sign เอง เช่น นิ่งไป panic กระตุก หรือ พ่นลมออกจากปอด เราก็ต้องดำลงไปช้อนตัวขึ้นมา แล้วจับหงายขึ้นให้พ้นน้ำ แล้วพาเข้าใกล้ขอบสระเพื่อเกาะไว้ จากนั้นก็เริ่มขั้นตอนต่อไปเหมือนกับที่ rescue คนที่ static คือ ถอดหน้ากาก เป่าหน้า ตบหน้า และสั่งให้หายใจ (blow tap talk)

เป็นอันว่าจบการฝึกในวันนี้ครับ พรุ่งนี้เราจะออกทะเลไปหมู่เกาะห้ากันครับ หวังว่าคงจะน่าดำและได้พบบรรยากาศที่แตกต่างจากที่แสมสารครับ วันพรุ่งนี้จะมาเล่าให้ฟังต่อครับ

[Nae]

ดีค่ะพี่ชัช วันนี้เนไปซ้อมที่สระกับพี่นิปปอนมา ได้ฟังเรื่องที่ร้านบลูแพลเน็ททำกับพี่ชัชจากพี่นิปปอนแล้ว เนก็"อึ้ง"ไปเหมือนกัน
ไว้พี่ชัชกับคุณ small กลับมาแล้วมาสอนเนเซฟตี้เวลาทำไดนามิคมั่งนะคะ hahaa.. แบบหนูไม่เคยเซฟตี้เวลาทำไดนามิคขนาดนั้นเลย

เขียนอีกนะคะ รออ่าน..

[Mee+]

อ่านแล้วก็ตอกย้ำความคิดที่ว่า ถึงAIDA จะมีหลักสูตรและลำดับขั้น instructorแต่ละคนมีจุดที่เน้นและความถนัดที่ต่างกัน ดังนั้นเราควรต้องเรียนจากหลายๆinstructor

[smallsmall]

อยากร้องไห้เป็นภาษาเยอรมัน เคลียหูไม่ได้ ตีฟินไม่เป็นสัปปะรด แต่ก็สนุกดีครับได้ความรู้เรื่องร่างกายเยอะมากเลยทีเดียว(การรีแลค การเตรียมพร้อมก่อนดำ การทำงานของร่างกายในการกระตุ้นการหายใจ เยอะมากครับ)

หลังจากกลับมา(แบบงงๆ) ผมเคลียหูไม่ได้อีกเลย(ข้างขวา) ไปตรวจแล้วหมอบอกให้รอดูอาการอีกสองสามวัน (ผลของความดันทุรังในการเคลียหูของผมเอง) ตอนนี้ปวดหูข้างขวาหนึบๆ รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในหู เซ็งจิตและผิดหวังตัวเองเล็กน้อย เห็นเป้าหมายอยู่ข้างหน้าแต่ไปไม่ถึง (ถึงกระนั้นก็จะลองดู)

ปล ห้องพักที่คอกวางรีสอร์ท หนูเยอะมาก และยุงเยอะมากกกกกกกก แต่บรรยากาศดีมาก(ไกลจากร้านค้ามากเช่นกัน)

ถ้าที่พักอยู่ไกลจากถนนใหญ่ ลองกลั้นใจเดินเข้าซอยดูสักนิด(ห้าหกสิบเมตร) แล้วราคามอไซรับจ้างจะถูกลงกว่าครึ่ง(ผมถามมอไซรับจ้างหน้าปากซอยเข้าไปที่คอกวางเค้าคิดผมห้าสิบ ผมเดินเข้าซอยมาหน่อยมีพี่ๆมอไซขับตามบอกยี่สิบไปไหม ถูกลงเห็นๆไม่ต้องต่อ)

[ghostpipe]

สู้เข้าไปอย่าได้ถอยครับ มาให้กำลังใจครับ ผมคิดว่าคุณ small ตัดสินใจถูกต้องอย่างมากเลยครับ ที่กลับบ้านในวันนั้น เป็นวิธีการที่ดีที่สุดครับ ไม่ไหวอย่างเพิ่งไปฝืนทำ
ผมเห็นความเครียดของคุณ small ตั้งแต่ก่อนลง dingky แล้ว และอย่างยิ่งตอน clear หูไม่ได้ตั้งแต่แรกก็ยิ่งเครียดใหญ่ และสะสมไปเรื่อยๆ ไม่เป็นไรครับคราวหน้าลองใหม่ อย่าท้อถอยนะครับ สู้ๆๆ อย่าลืมครับ relaxation is the key

ผมแนะนำให้เรียน scuba อย่างจิรงจังก่อน และขอให้เรียนกับร้านที่ใส่ใจด้านการฝึกอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการดำแบบ skin dive คือการดำผิวน้ำ ซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญมากของ scuba และ freediving ด้วย ทักษะที่สำคัญ 2 ประการที่จะได้จากการฝึก skin dive คือ

1) การเตะฟินที่ถูกวิธี ถ้าเราเตะฟินดี ถูกต้อง ทุกๆ อย่างก็ง่ายขึ้น ไม่ว่า scuba หรือ freediving ของผมตอนนี้ผมรู้ข้อบกพร่องของตัวเองที่ต้องแก้แล้ว ก็คือ forward kick น้อยกว่า backward kick หรือกรณีทีผมซื้อ monofin มาแล้ว เอาไปลองแล้ว แต่ตอนนี้ผมขอเก็บไว้ก่อนแล้วครับ ผมจะไปเรียนท่าว่ายน้ำแบบผีเสื้อก่อน เพื่อที่จะเข้าใจ basic ของการใช้กล้ามเนื้อ และท่าทางที่ถูกต้อง เป็นอย่างไร เพื่อให้การฝึกฟิน kick แบบ monfin มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น instructor ผมทั้งสองคนของผมก็ confirm อย่างนั้น เช่นเดียวกัน การเรียนรู้ และฝึกการเตะฟินอย่างถูกวิธีจากการเรียน skin dive ก็เป็นทักษะพื้นฐานของการดำน้ำ ทั้งแบบ scuba และ freedivin

2) การทำ duck dive หรือ head first ในภาษาของการฝึก skin dive ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นแม้แต่เพื่อการ scuba บางครั้งเราต้องการเปลี่ยนความลึกอย่างรวดเร็ว เช่นผมเคยลืมปล่อยลมออกจาก BC ตอนสาวเชือกลง hardeep ที่แสมสาร เมื่อผมลงไปถึงเรือแล้วปล่อยมือเพื่อว่ายเข้าไปที่เรือ ตัวผมลอยขึ้นทันที แต่สติกับทักษะที่เคยฝึกมาทำให้ผมรอดมาได้ กระตุก dump วาวล์ และ head first ตีฟิน ดำลงอย่างรวดเร็ว ไม่งั้นคงเป็นข่าวดัง (หรืออาจจะไม่ดังก็ได้ เพราะไม่ใช่ดารา) ไปแล้ว อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับดาราหนุ่มคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนที่ผ่านมา

หลังจากวันแรกในสระของการเรียน scuba แล้ว วันต่อๆ ไปเราจะได้เรียนทักษะอีกมากมาย แต่การเคลียหู ก็เป็นอีกทักษะหนึ่งที่ที่สำคัญและต้องเรียนรู้จนเข้าใจและฝึกฝนจนทำได้ ขอย้ำว่าต้องทำได้ ไม่เช่นนั้น ดำ scuba ได้แต่ไม่สนุกแน่นอน buddy ถาวรของผมกว่าจะทำได้และเข้าใจ เมื่อ dive สุดท้ายของ trip ที่สองไปแล้ว คือประมาณ dive ที่ 30 โน่น หลังจากนั้นก็ดำสบาย ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้ออีกต่อไป

แต่สิ่งที่การเคลียหูเพื่อ scuba กับ freediving ต่างกันก็คือเรื่องของ position และ timing คือ scuba โดยทั่วไปหัวเราจะตั้งขึ้น (head up) ซึ่งจะง่ายกว่าแบบ freediving ซึ่งเป็นแบบหัวลง (head down) ในบางครั้งถ้าใครหูติดเคลียไม่ได้ เมื่อกลับเป็นหัวตั้งแล้วอาจเคลียออกก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะของกล้ามเนื้อและของเหลวในโพรงต่างๆ มีการวางตัวที่ต่างกันเมื่อทิศทางของศรีษะเปลี่ยนไป อีกเรื่องหนึ่งก็คือความเร็วในการดำลงของ scuba จะช้าหรือเร็วก็ได้ คือ clear ไม่ได้ก็หยุดได้ ดำขึ้นไปที่ตื้นขึ้นเพื่อลดแรงดันแล้วลอง clear ดูใหม่ ก็ทำได้ แต่ freediving เราไม่ทำแบบนั้น เราจะดำลงแบบ head down ลงไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ความลึกและใช้เวลาได้เหมาะสม ถ้าจะมาหยุดถอยขึ้นถอยลงคงไม่ใช่ freediving ตอน warm up อาจทำได้ แต่พอต้องทำ constant weigth คงไม่มีใครทำแบบนั้น

อีกประเด็นหนึ่งก็คือเรื่องของการลอยตัวหรือ buoyancy ซึ่งมีทั้งแบบ negative, positive และ neutral คือ จมลง ลอยขึ้น และเป็นกลาง (ไม่จมและไม่ลอยขึ้น ลอยอยู่ที่ระดับนั้นตลอดไป ถ้าไม่มีแรงใดๆ มากระทำ) เมื่อเราเข้าใจเรื่องเหล่านี้จากการดำแบบ scuba แล้วว่ามันคืออะไร จะปรับให้จมให้ลอย และเป็นกลางได้อย่างไร การมาดำ freediving ก็จะง่ายขึ้น เนื่องจากเราต้องรู้ว่าเราจะปรับ buoyancy ของเราให้เป็นกลางที่ระดับความลึกเท่าไรจึงจะเหมาะสมต่อการดำแบบ constant weigth ไว้ผมจะเขียนเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้งเมื่อมีเวลา


เพราะฉะนั้นไปเรียน scuba และดำจนเกิดความมั่นใจแล้ว จะเป็นพื้นฐานที่ดีในการดำแบบ freediving ส่วนใหญ่ผมเห็น freediver ทุกคน ดำ scuba จนชำนาญมาก่อนทุกคน

หาร้านที่ดีๆ นะครับ บางร้านผมก็เห็นว่าไม่เน้นเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่ร้านที่ผมเรียนเน้นมากๆ ครับ และ serious กับทุกๆ ทักษะกับนักเรียนทุกคน คำตอบก็คือ เมื่อนักเรียนเก่งแล้ว เวลาไปออก trip กับเขา เขาก็จะไม่เหนื่อยมาก และมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วยนั่นเอง

สู้ครับ แล้วกลับไปเรียน ** ต่อนะครับ

[smallsmall]

ตอนนี้ยังกังวลเรื่องหูอยู่ครับ เพราะ หูข้างขวาตอนนี้เคลียไม่ออกเลย(เหมือนจะมีลมขังอยู่ด้วย) หลังจากไปตรวจแล้วหมอบอกว่าเยื่อแก้วหูไม่เป็นอะไรไม่ได้ช้ำ รอดูอาการสักสองสามวันก่อน มีความเนไปได้ที่ท่อในหูทั้งสองข้างอาจจะไม่เท่ากัน(เห็นหมอบอกว่างั้นนะครับ) คงต้องรอๆ ไปก่อน ตอนนี้ก็ ดำแห้งไปก่อนครับ


ปล.. มีใครสนใจไปปีนผามั่งครับ (ไร่เล กระบี่ ปลายกุมภาครับ)

[Mee+]

เคยลองปีนครั้งสองครั้งแค่ไม่กี่เมตร ท่าจะไม่รุ่ง ใช้กำลังนิ้วเยอะมาก ปีนขึ้น20เมตรนิ้วล้าจนอยากเอามือไขว้หลังโดดลง ถึงพื้นจะแคะขี้มูกยังนิ้วสั่นดิกๆ